ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ จัดพิธีปิดโครงการพระราชทาน “โคกหนองนาแห่งน้ำใจและความหวังเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์” ในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

เมื่อเวลา 09.10 น. วันที่ 4 มกราคม 2564 ที่เรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์ นายผล ดำธรรม ผวจ.อุตรดิตถ์ เป็นผู้แทนพระองค์ในพิธีปิดโครงการพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว “โคกหนองนาแห่งน้ำใจและความหวังเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์” และได้มีการมอบใบประกาศเกียรติบัตรแก่ผู้ต้องขังที่ผ่านการฝึกอบรมในโครงการดังกล่าว โดยมี นายประมวล พูลสวัสดิ์ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวรายงานผลการดำเนินงาน พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการและผู้ต้องขังที่สำเร็จการฝึกอบรม ซึ่งมีผู้เข้ารับการฝึกเป็นผู้ต้องขังชาวไทย รวมทั้งสิ้นจำนวน 193 คน และวันนี้ทางเรือนจำอุตรดิตถ์ได้ปล่อยตัวผู้ต้องขังแล้ว จำนวน 129 คน

ตามที่พระราชกฤษฎีกา พระราชทานอภัยโทษ ปีพ.ศ. 2563 เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในวันชาติและวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ทางกรมราชทัณฑ์จึงได้มีกำหนดหลักสูตรฝึกปฏิบัติการเกษตรทฤษฎีใหม่ในพื้นที่ขนาดเล็ก ภายใต้โครงการ “โคกหนองนาแห่งน้ำใจและความหวังเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์” เพื่อเป็นหลักสูตรในการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย ให้กับกลุ่มนักโทษเด็ดขาด ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษประจำปี 2563 โดยเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้ดำเนินการอบรมภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติให้แก่นักโทษเด็ดขาดที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ เป็นระยะเวลา 14 วัน ในระหว่างวันที่ 21 ธันวาคม 2563 ถึง วันที่ 3 มกราคม 2564 โดยแบ่งการฝึกอบรมออกเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 การอบรมพึ่งพาตนเองด้วยทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง ขั้นที่ 2 การอบรมแปลงทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฎิบัติ และขั้นที่ 3 การสรุปและการประเมินผล

นายประมวล พูลสวัสดิ์ ผบ.เรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวว่า เรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้ขับเคลื่อนโครงการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย หลักสูตรฝึกปฏิบัติการเกษตรทฤษฎีใหม่ ในพื้นที่ขนาดเล็ก “โคกหนองนาแห่งน้ำใจและความหวังเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์” เพื่อเป็นหลักสูตรในการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยให้แก่นักโทษเด็ดขาดที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว นักโทษเด็ดขาดที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ลดโทษ และจะพ้นโทษในคราวเดียวกัน ตามพระราชกฤษฎีกา พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2563 เพื่อให้กลับไปใช้ชีวิตอยู่ในสังคมภายนอกได้อย่างปกติสุข และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในการดำรงชีพ นอกจากนี้ยังสร้างอาชีพเพื่อเป็นการหารายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัวได้ในอนาคต โดยไม่หวนกลับมากระทำผิดซ้ำอีก อันเป็นไปตามนโยบายกรมราชทัณฑ์ในการคืนคนดี มีคุณค่า สู่สังคมต่อไป