ทีมนักวิจัย ม.วลัยลักษณ์ และกลุ่มภาคีเครือข่าย ร่วมกันพัฒนาการผลิตน้ำมันปาล์มดิบ ของโรงบีบปาล์มชุมชนจากเกรดอาหารสัตว์ให้เป็นเกรดเวชสำอาง ด้วยนวัตกรรมคลื่นไมโครเวฟ ร่วมเตาแก๊สซิฟิเคชันแทนเตาฟืน

รศ.ดร.หมุดตอเล็บ  หนิสอ หัวหน้าห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีพลาสมา และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมอาหาร และศูนย์ศูนย์ความเป็นเลิศด้านวัสดุเชิงฟังก์ชัน และนาโนเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ตนพร้อมด้วยกลุ่มภาคีเครือข่าย ร่วมกันวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันปาล์มดิบจากเดิมใช้เตาฟืน เปลี่ยนเป็นการกระตุ้นด้วยคลื่นไมโครเวฟร่วมกับความร้อนจากเตาแก๊สซิฟิเคชัน ทำให้โรงบีบปาล์มชุมชนสามารถเปลี่ยนกระบวนการผลิตน้ำปาล์มดิบจากเกรดอาหารสัตว์ กิโลกรัมละ 20 – 30 บาท เป็นเกรดเวชสำอาง กิโลกรัมละ 100 – 1000 บาท ถือเป็นโรงบีบปาล์มชุมชนแห่งแรกในประเทศไทย และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่สามารถผลิตน้ำมันปาล์มดิบคุณภาพสูง สร้างมูลค่าเพิ่ม และสามารถพัฒนาไปเป็นอาหารเสริมสุขภาพ และเครื่องสำอางได้ด้วย

สำหรับการวิจัยนี้ทำมาตั้งแต่ปี 2556 ปัจจุบันถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก สามารถยกระดับการผลิตน้ำมันปาล์มดิบจากเกรดอาหารสัตว์ซึ่งมีค่า โดบี้ต่ำกว่า 1 มีปริมาณกรดไขมันอิสระสูงกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นน้ำมันปาล์มดิบเกรดเอและเกรดพรีเมี่ยม ซึ่งมีค่าโดบี้สูงกว่า 2.4 มีปริมาณกรดไขมันอิสระต่ำกว่า 2.8 เปอร์เซ็นต์ และสามารถลดเวลาของการผลิตได้ 2 เท่า เพิ่มกำลังการผลิตจากเดิมวันละ 2 ตัน เป็นวันละ 4 ตัน ปัจจุบันภาคีเครือข่ายการวิจัยได้แก่ โรงบีบปาล์มแสงอรุณปาล์มออยล์ อุทยานวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ ร่วมมือกันพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ เพื่อยกระดับการผลิตน้ำมันปาล์มดิบของโรงบีบปาล์มชุมชนในภาคใต้ ซึ่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน โรงบีบปาล์มชุมชน และจะทำให้สามารถแก้ปัญหาวิกฤตของราคาปาล์มตกต่ำในอนาคตอีกด้วย

ทางด้าน นายไพโรจน์  ภู่ต้อง กรรมการผู้จัดการ หจก. แสงอรุณปาล์มออย กล่าวว่า เทคโนโลยีการผลิตน้ำมันปาล์มดิบกระตุ้นด้วยคลื่นไมโครเวฟ ร่วมกับความร้อนจากเตาแก๊สซิฟิเคชัน ของทีมนักวิจัย ทำให้เจ้าของสวนปาล์มรายย่อยมีรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนโรงงานมีเทคโนโลยี “การอบแห้ง” ทดแทนการใช้เตาฟืนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยกระดับการแก้ปัญหาทางการเกษตรที่ยั่งยืนมีประสิทธิภาพ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้านการอบแห้งสำหรับชุมชน โดยเฉพาะพืชเศรษกิจที่มีเปลือก  อาทิ ปาล์ม ข้าว ลำไย หมาก เป็นต้น