“บิ๊กอ้อ” แถลงยุทธการใหญ่ Stop Weapon พื้นที่เหนือตอนล่าง
สำนักงานตำรวจแห่งชาติสั่งลุย เปิดเกมรุกพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 6 ยึดของกลางเพียบ ปืน 128 กระบอก ยาบ้ากว่า 6 หมื่นเม็ด เดินหน้าลุยต่อไม่ลดแรง มุ่งสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ประชาชน
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 3 กรกฎาคม 2568 พล.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี หรือ “บิ๊กอ้อ” ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ ตามนโยบายเร่งด่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศนรด.ตร.) แถลงข่าวความคืบหน้าผลการดำเนินงานใน “ยุทธการ Stop Weapon” ซึ่งเป็นแผนปราบปรามอาชญากรรมขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 6 ครอบคลุมหลายจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งปฏิบัติการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างหลายหน่วยงานภายใต้การบัญชาการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดูรงควิบูลย์ ผบช.ภ.6, พล.ต.ต.ธรรมศักดิ์ ปิ่นทอง รอง ผบช.ภ.6 และ พล.ต.ต.เดชพล เปรมศิริ ผบก.สส.ภ.6 ร่วมสนับสนุนแผนปฏิบัติการอย่างใกล้ชิด
ในครั้งนี้ มีการบูรณาการกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นเป้าหมายสำคัญจำนวน 359 จุด ทั่วภูมิภาค ครอบคลุมทั้งพื้นที่เสี่ยง อำเภอชั้นใน และจุดที่มีรายงานการกระทำผิดเกี่ยวกับอาวุธและยาเสพติด โดยผลจากการกวาดล้างสามารถยึดของกลางได้จำนวนมาก ดังนี้ อาวุธปืน 128 กระบอก /ยาเสพติดประเภท ยาบ้า จำนวน 61,903 เม็ด /เงินสดที่คาดว่าได้จากการกระทำผิด 205,100 บาท พร้อมของกลางอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระสุน วัตถุระเบิด เครื่องกระสุน และเอกสารสำคัญต่าง ๆ
พล.ต.อ.อัคราเดช เปิดเผยว่า ยุทธการ Stop Weapon เป็นภารกิจเร่งด่วนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมุ่งหวังให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยเน้นย้ำการควบคุมและลดจำนวนอาวุธในมือประชาชน รวมถึงตัดวงจรการกระจายยาเสพติดที่เป็นภัยร้ายต่อสังคม พร้อมระบุว่า เจ้าหน้าที่จะเดินหน้าปฏิบัติการในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องและครอบคลุม เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนในทุกพื้นที่ของประเทศ “ผลการปฏิบัติครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความจริงจังในการปราบปรามอาชญากรรมทุกมิติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป้าหมายคือการทำให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัย ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรือในชนบท และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของแผนระยะยาวที่จะดำเนินการต่อเนื่อง” ทั้งนี้ การกวาดล้างในยุทธการ Stop Weapon ไม่เพียงแต่ยึดอาวุธและยาเสพติดได้จำนวนมาก แต่ยังเป็นการตัดวงจรการค้ายาและอาวุธผิดกฎหมายในระดับชุมชนลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเจ้าหน้าที่เตรียมเดินหน้าขยายผลต่อไปในระยะถัดไป
