คิดค้นสูตรอาหารและวิธีเลี้ยงด้วงสาคูเพื่อเพิ่มมูลค่า

นักวิจัย มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ คิดค้นสูตรอาหารและวิธีเลี้ยงด้วงสาคูให้มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงกว่าน้ำมันปลา ช่วยเพิ่มมูลค่าการผลิตเชิงพาณิชย์ของแมลงกินได้แก่เกษตรกร
รศ.ดร.วรวรรณ พันพิพัฒน์ อาจารย์ประจำสำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร และอุตสาหกรรมอาหาร ในฐานะหัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมอาหาร มวล เปิดเผยว่า ตนและทีมนักวิจัยประกอบด้วย นางสาวขนิษฐา จินารักษ์ รศ.ดร.มนัส ชัยจันทร์ และ ผศ.ดร.พิจักษณ์ สัมพันธ์ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีฯ ร่วมวิจัยศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของด้วงสาคู (Sago palm weevil larvae) ที่เพาะเลี้ยงในระบบฟาร์มในเขต 3 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ นครศรีธรรมราช พัทลุง และยะลา พบว่าด้วงสาคูจากทั้ง 3 แหล่ง มีไขมันและโปรตีนเป็นองค์ประกอบหลัก โดยมีไขมันร้อยละ 52.4 – 60.1 และโปรตีนร้อยละ 18.0 – 28.5 นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ได้แก่ โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม โซเดียม แคลเซียม สังกะสี ทองแดง แมงกานีส และเหล็ก ซึ่งปริมาณสารอาหารในด้วงสาคูจะแตกต่างกันในแต่ละฟาร์ม ขึ้นอยู่กับสูตรอาหารและวิธีการเลี้ยงด้วงสาคูเป็นสำคัญ


เมื่อได้พิจารณาคุณภาพของโปรตีนในด้วงสาคูที่ผ่านการเพาะเลี้ยง พบว่ามีปริมาณกรดอะมิโนจำเป็นต่ำกว่าโปรตีนอ้างอิงที่กำหนดโดยองค์การอาหาร และเกษตรแห่งสหประชาชาติ รวมทั้งมีกรดไขมันจำเป็นในปริมาณต่ำและมีสัดส่วนของกรดไขมันโอเมก้า-6 / โอเมก้า-3 ที่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ จากความรู้ดังกล่าวนำมาสู่การศึกษาวิจัยเชิงลึก เพื่อคิดค้นสูตรอาหารที่สามารถเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการของด้วงสาคูให้สูงขึ้น รวมทั้งสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของแมลงดังกล่าว เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตเชิงพาณิชย์ของแมลงกินได้ของภาคใต้ โดยทำการศึกษาครอบคลุมการเพิ่มปริมาณสารอาหารทั้งหมด และมุ่งเน้นการเพิ่มกรดไขมันจำเป็นโอเมก้า-3 ให้ใกล้เคียงกับน้ำมันปลา เนื่องจากด้วงสาคูมีไขมันเป็นองค์ประกอบสูงและมีวงจรชีวิตสั้นกว่าปลาทะเลน้ำลึกมาก รวมทั้งศึกษาการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ไขมัน เพื่อให้เข้าใจกลไกเชิงลึกในระบบเมทาบอลิซึมของด้วงสาคู


รศ.ดร.วรวรรณ กล่าวต่อว่า สำหรับสูตรอาหารที่พัฒนาขึ้นใหม่นี้สามารถเพาะเลี้ยงด้วงสาคูได้ขนาดตัวหนอนที่โต และมีน้ำหนักมากกว่าการเลี้ยงด้วยสูตรอาหารแบบดั้งเดิม โดยสามารถลดระยะเวลาการเลี้ยงด้วงสาคูให้สั้นลงอย่างน้อย 10 วัน โดยที่ด้วงสาคูยังมีคุณค่าทางโภชการสูงกว่าการเลี้ยงด้วยอาหารสูตรดั้งเดิมอย่างมาก ทั้งนี้สามารถเพิ่มปริมาณโปรตีนให้สูงขึ้นถึงร้อยละ 40 – 92 โดยเป็นโปรตีนคุณภาพสูง เนื่องจากประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นครบทั้ง 9 ชนิด และยังมีปริมาณกรดอะมิโนจำเป็นเพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึงร้อยละ 12 – 48 เมื่อเปรียบเทียบกับโปรตีนมาตรฐานตามข้อกำหนดขององค์การอาหาร และการเกษตรแห่งสหประชาชาติแล้ว พบว่าปริมาณกรดอะมิโนจำเป็นของด้วงสาคูที่ผ่านการเลี้ยงด้วยสูตรอาหารชนิดใหม่นี้ มีค่าสูงกว่าโปรตีนอ้างอิงถึง 1 – 1.5 เท่า ดังนั้นด้วงสาคูจึงเป็นแหล่งอาหารโปรตีนคุณภาพสูง ในด้านคุณภาพของไขมันนั้น ด้วงสาคูที่ผ่านการเลี้ยงด้วยอาหารสูตรใหม่มีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงกว่าการเลี้ยงด้วยอาหารสูตรดั้งเดิมถึง 10 – 25 เท่า ด้วงสาคูที่ผ่านการเลี้ยงด้วยอาหารสูตรใหม่มีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงกว่าน้ำมันปลาถึง 1.24 เท่า อีกทั้งมีสัดส่วนของกรดไขมันโอเมก้า-6 / โอเมก้า-3 ต่ำกว่า 4 / 1 ซึ่งบ่งชี้ถึงไขมันที่มีผลดีต่อสุขภาพ นอกจากนี้ด้วงสาคูที่เลี้ยงด้วยอาหารสูตรใหม่ยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุ ได้แก่ โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม โซเดียม แคลเซียม และสังกะสี ซึ่งแร่ธาตุดังกล่าวมีปริมาณสูงกว่าแร่ธาตุที่พบในไข่ไก่


ในส่วนของผลการวิจัยนั้นได้แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มศักยภาพเชิงพาณิชย์ของด้วงสาคู เพื่อให้เป็นแหล่งอาหารทางเลือกในอนาคต ที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นการศึกษาวิจัยเชิงลึกที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งส่งผลในการสร้างความมั่นคงด้านอาชีพให้แก่เกษตรกร ทั้งนี้คณะผู้วิจัยขอขอบคุณการสนับสนุนงบประมาณการวิจัยจากโครงการพัฒนานักวิจัยและงานวิจัยเพื่ออุตสาหกรรม (พวอ.) ระดับปริญญาเอก รศ.ดร.วรวรรณ กล่าวตอนท้ายสุด